SEAProTI.org
: Hague Apostille Convention (1961), Abolition of Legalisation Requirements

Hague Apostille Convention (1961), Abolition of Legalisation Requirements

คำแปลอนุสัญญาเฮก ค.ศ. 1961 ว่าด้วยการยกเลิกการนิติกรณ์เอกสารสาธารณะจากต่างประเทศ
ฉบับสมบูรณ์ มาตรา 1–15

รัฐภาคีผู้ลงนามในอนุสัญญาฉบับนี้ โดยมีความประสงค์ที่จะยกเลิกข้อกำหนดการรับรองเอกสารโดยทางการทูตหรือทางกงสุล สำหรับเอกสารสาธารณะจากต่างประเทศจึงได้ตกลงกันจัดทำอนุสัญญาฉบับนี้ และได้เห็นพ้องต้องกันในบทบัญญัติดังต่อไปนี้

มาตรา 1
อนุสัญญาฉบับนี้ให้ใช้บังคับแก่เอกสารสาธารณะที่ได้จัดทำขึ้นในอาณาเขตของรัฐภาคีรัฐหนึ่ง และต้องนำไปใช้ในอาณาเขตของรัฐภาคีอีกรัฐหนึ่ง
เพื่อวัตถุประสงค์แห่งอนุสัญญาฉบับนี้ ให้ถือว่าเอกสารต่อไปนี้เป็น “เอกสารสาธารณะ” ได้แก่
(a) เอกสารที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับศาลหรือองค์กรตุลาการของรัฐนั้น รวมถึงเอกสารที่ออกโดยพนักงานอัยการ เสมียนศาล หรือเจ้าพนักงานบังคับคดี (huissier de justice)
(b) เอกสารทางปกครอง
(c) นิติกรรมที่จัดทำโดยพนักงานโนตารี (notarial acts)
(d) หนังสือรับรองอย่างเป็นทางการที่แนบไว้กับเอกสารซึ่งลงนามโดยบุคคลในฐานะส่วนตัว เช่น หนังสือรับรองการจดทะเบียนเอกสาร หรือการรับรองว่าเอกสารนั้นมีอยู่ ณ วันที่ใดวันที่หนึ่ง รวมถึงการรับรองลายมือชื่ออย่างเป็นทางการหรือโดยพนักงานโนตารี

อย่างไรก็ดี อนุสัญญาฉบับนี้ ไม่ให้ใช้บังคับ กับเอกสารดังต่อไปนี้
(a) เอกสารที่จัดทำโดยเจ้าหน้าที่ทางการทูตหรือทางกงสุล
(b) เอกสารทางปกครองที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินการทางพาณิชย์หรือศุลกากร

การมีผลใช้บังคับของอนุสัญญา
ตามบทบัญญัติมาตรา 11 อนุสัญญาฉบับนี้มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1965 ซึ่งเป็นวันที่หกสิบภายหลังจากการยื่นตราสารให้สัตยาบันฉบับที่สาม สำหรับรัฐต่อไปนี้ ซึ่งได้ยื่นตราสารให้สัตยาบันต่อรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ในวันที่ระบุไว้ ดังนี้

ยูโกสลาเวีย — 25 กันยายน ค.ศ. 1962
สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ
(รวมถึงการใช้บังคับกับเกาะเจอร์ซีย์ เขตปกครองเกิร์นซีย์ และเกาะแมน) — 21 สิงหาคม ค.ศ. 1964

ฝรั่งเศส
(รวมถึงดินแดนและจังหวัดโพ้นทะเล) — 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1964

มาตรา 2
รัฐภาคีแต่ละรัฐต้องยกเว้นไม่กำหนดให้มีการนิติกรณ์เอกสาร สำหรับเอกสารที่อยู่ภายใต้บังคับของอนุสัญญาฉบับนี้ และที่ต้องนำไปใช้ในอาณาเขตของรัฐนั้น
เพื่อวัตถุประสงค์แห่งอนุสัญญาฉบับนี้ คำว่า “การนิติกรณ์” (legalisation) หมายถึงเพียงพิธีการที่เจ้าหน้าที่ทางการทูตหรือทางกงสุลของประเทศที่เอกสารนั้นต้องนำไปใช้ รับรองความแท้จริงของลายมือชื่อ ฐานะหรืออำนาจหน้าที่ของผู้ลงนามในเอกสาร และในกรณีที่เหมาะสม ให้รวมถึงการรับรองเอกลักษณ์ของตราประทับหรือดวงตราที่ปรากฏในเอกสารนั้นด้วย

มาตรา 3
พิธีการเพียงประการเดียวที่อาจกำหนดให้มี เพื่อรับรองความแท้จริงของลายมือชื่อ ฐานะหรืออำนาจหน้าที่ของผู้ลงนามในเอกสาร และในกรณีที่เหมาะสม เอกลักษณ์ของตราประทับหรือดวงตราที่ปรากฏในเอกสารนั้น คือ การเพิ่มหนังสือรับรองตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 4 ซึ่งออกโดยหน่วยงานที่มีอำนาจของรัฐที่เอกสารนั้นจัดทำขึ้น
อย่างไรก็ดี ไม่อาจกำหนดให้มีพิธีการตามวรรคก่อน หากกฎหมาย ระเบียบ หรือแนวปฏิบัติที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐที่นำเอกสารไปใช้ หรือข้อตกลงระหว่างรัฐภาคีตั้งแต่สองรัฐขึ้นไป ได้ยกเลิกหรือผ่อนคลายพิธีการดังกล่าว หรือได้ยกเว้นเอกสารนั้นจากการนิติกรณ์แล้ว

มาตรา 4
หนังสือรับรองที่กล่าวถึงในวรรคหนึ่งของมาตรา 3 ให้ประทับไว้บนตัวเอกสารนั้นเอง หรือบนเอกสารแนบท้าย (allonge) และต้องจัดทำในรูปแบบตาม แบบมาตรฐานที่แนบท้ายอนุสัญญาฉบับนี้ ทั้งนี้ หนังสือรับรองดังกล่าวอาจจัดทำขึ้นในภาษาทางการของหน่วยงานผู้ออกหนังสือรับรองได้ และข้อความมาตรฐานที่ปรากฏในหนังสือรับรองอาจจัดทำเป็นภาษาที่สองเพิ่มเติมได้ ส่วนชื่อเรื่อง “Apostille (Convention de La Haye du 5 octobre 1961)” ต้องปรากฏเป็น ภาษาฝรั่งเศส

มาตรา 5
หนังสือรับรองให้จัดออกตามคำร้องขอของบุคคลผู้ลงนามในเอกสาร หรือของผู้ถือเอกสารรายใดรายหนึ่งก็ได้ เมื่อกรอกข้อความครบถ้วนและถูกต้องแล้ว หนังสือรับรองดังกล่าวจะเป็นการรับรองความแท้จริงของลายมือชื่อ ฐานะหรืออำนาจหน้าที่ของผู้ลงนามในเอกสาร และในกรณีที่เหมาะสม เอกลักษณ์ของตราประทับหรือดวงตราที่เอกสารนั้นมีอยู่
ลายมือชื่อ ตราประทับ และดวงตราที่ปรากฏในหนังสือรับรองดังกล่าว ให้ได้รับการยกเว้นจากการรับรองใด ๆ ทั้งสิ้น

มาตรา 6
รัฐภาคีแต่ละรัฐต้องกำหนด โดยอ้างอิงตามหน้าที่ทางราชการ หน่วยงานที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองตามที่กล่าวถึงในวรรคหนึ่งของมาตรา 3 รัฐภาคีนั้นต้องแจ้งการกำหนดดังกล่าวต่อ กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ในขณะที่ยื่นตราสารให้สัตยาบัน หรือภาคยานุวัติ หรือคำประกาศขยายการใช้บังคับ และต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกี่ยวกับหน่วยงานที่ได้รับการกำหนดดังกล่าวด้วย

มาตรา 7
หน่วยงานแต่ละแห่งที่ได้รับการกำหนดตามมาตรา 6 ต้องจัดให้มี ทะเบียนหรือบัญชีบัตร เพื่อบันทึกรายการหนังสือรับรองที่ได้ออกไป โดยระบุข้อมูลดังต่อไปนี้
(a) หมายเลขและวันที่ออกหนังสือรับรอง
(b) ชื่อของผู้ลงนามในเอกสารสาธารณะ และฐานะหรืออำนาจหน้าที่ที่ผู้นั้นได้กระทำการลงนาม หรือในกรณีที่เอกสารไม่มีลายมือชื่อ ให้ระบุชื่อของหน่วยงานที่ได้ประทับตราหรือดวงตราไว้ในเอกสารนั้น
เมื่อบุคคลใดที่มีส่วนได้เสียร้องขอ หน่วยงานผู้ออกหนังสือรับรองต้องตรวจสอบว่า รายละเอียดที่ปรากฏในหนังสือรับรองตรงกับข้อมูลที่บันทึกไว้ในทะเบียนหรือบัญชีบัตรหรือไม่

มาตรา 8
ในกรณีที่สนธิสัญญา อนุสัญญา หรือความตกลงระหว่างรัฐภาคีตั้งแต่สองรัฐขึ้นไป มีบทบัญญัติกำหนดพิธีการบางประการสำหรับการรับรองลายมือชื่อ ตราประทับ หรือดวงตรา อนุสัญญาฉบับนี้จะมีผลแทนที่บทบัญญัติดังกล่าว เฉพาะในกรณีที่พิธีการนั้นมีความเข้มงวดมากกว่า พิธีการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 3 และมาตรา 4 เท่านั้น

มาตรา 9
รัฐภาคีแต่ละรัฐต้องดำเนินการตามมาตรการที่จำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ทางการทูตหรือทางกงสุลของตนดำเนินการนิติกรณ์เอกสาร ในกรณีที่อนุสัญญาฉบับนี้กำหนดให้ได้รับการยกเว้นจากการนิติกรณ์

หมายเหตุท้ายบท (ตามมาตรา 6)
ตามบทบัญญัติมาตรา 6 รัฐภาคีต่อไปนี้ได้แจ้งต่อรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ เกี่ยวกับการกำหนดหน่วยงานที่มีอำนาจออกหนังสือรับรอง ดังนี้
ฝรั่งเศส (หนังสือแจ้งถึงรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1961)

ประธานศาลชั้นต้น (Tribunal de grande instance) และผู้พิพากษาศาลแขวง (Tribunaux d’instance) สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ (แจ้งเมื่อยื่นตราสารให้สัตยาบัน)

เลขาธิการใหญ่ประจำพระองค์ฝ่ายการต่างประเทศ (Her Majesty’s Principal Secretary of State for Foreign Affairs) กระทรวงการต่างประเทศ สหราชอาณาจักร กรุงลอนดอน (ใช้บังคับกับสหราชอาณาจักร เกาะเจอร์ซีย์ เขตปกครองเกิร์นซีย์ และเกาะแมน)

มาตรา 10
อนุสัญญาฉบับนี้เปิดให้รัฐที่มีผู้แทนเข้าร่วมการประชุมสมัยที่เก้าของการประชุมกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล และรัฐไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ และตุรกี ลงนามได้ อนุสัญญาฉบับนี้ต้องได้รับการให้สัตยาบัน และให้ยื่นตราสารให้สัตยาบันไว้กับ กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์

มาตรา 11
อนุสัญญาฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับในวันที่หกสิบ นับแต่วันที่มีการยื่นตราสารให้สัตยาบันฉบับที่สาม ตามที่กล่าวถึงในวรรคสองของมาตรา 10 สำหรับรัฐผู้ลงนามซึ่งให้สัตยาบันภายหลัง อนุสัญญาฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับแก่รัฐนั้นในวันที่หกสิบ นับแต่วันที่รัฐดังกล่าวได้ยื่นตราสารให้สัตยาบันของตน

มาตรา 12
รัฐใดซึ่งมิได้กล่าวถึงไว้ในมาตรา 10 อาจภาคยานุวัติเข้าเป็นภาคีแห่งอนุสัญญาฉบับนี้ได้ ภายหลังจากที่อนุสัญญาได้มีผลใช้บังคับแล้วตามวรรคหนึ่งของมาตรา 11
ให้ยื่นตราสารภาคยานุวัติไว้กับ กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ การภาคยานุวัติดังกล่าวจะมีผลเฉพาะในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่ภาคยานุวัติกับรัฐภาคีอื่น ๆ ที่มิได้ยื่นคัดค้านการภาคยานุวัตินั้น ภายในระยะเวลา หกเดือน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งตามที่ระบุไว้ในข้อ (d) ของมาตรา 15 การคัดค้านใด ๆ ต้องแจ้งต่อ กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ อนุสัญญาฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับระหว่างรัฐที่ภาคยานุวัติกับรัฐภาคีซึ่งมิได้ยื่นคัดค้าน ในวันที่หกสิบ นับแต่วันสิ้นสุดระยะเวลาหกเดือนตามที่กล่าวไว้ในวรรคก่อน

มาตรา 13
รัฐใด ๆ อาจประกาศในขณะลงนาม ให้สัตยาบัน หรือภาคยานุวัติ ว่าอนุสัญญาฉบับนี้จะให้ใช้บังคับครอบคลุมดินแดนทั้งหมดซึ่งรัฐนั้นรับผิดชอบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือเฉพาะดินแดนหนึ่งหรือหลายดินแดนก็ได้ คำประกาศดังกล่าวจะมีผลในวันที่อนุสัญญาฉบับนี้มีผลใช้บังคับแก่รัฐนั้น ภายหลังจากนั้น การขยายการใช้บังคับดังกล่าว ให้แจ้งต่อ กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์

ในกรณีที่คำประกาศขยายการใช้บังคับกระทำโดยรัฐที่ได้ลงนามและให้สัตยาบันแล้ว อนุสัญญาฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับแก่ดินแดนที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 11
และในกรณีที่คำประกาศขยายการใช้บังคับกระทำโดยรัฐที่ได้ภาคยานุวัติแล้ว อนุสัญญาฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับแก่ดินแดนที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 12

มาตรา 14
อนุสัญญาฉบับนี้ให้มีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา ห้าปี นับแต่วันที่มีผลใช้บังคับตามวรรคหนึ่งของมาตรา 11 ทั้งนี้ ให้รวมถึงรัฐที่ได้ให้สัตยาบันหรือภาคยานุวัติเข้าเป็นภาคีภายหลังด้วย หากไม่มีการบอกเลิก อนุสัญญาฉบับนี้จะได้รับการต่ออายุโดยปริยายทุก ๆ ระยะเวลาห้าปี การบอกเลิกอนุสัญญาต้องแจ้งต่อ กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ล่วงหน้าอย่างน้อย หกเดือน ก่อนสิ้นสุดระยะเวลาห้าปีดังกล่าว การบอกเลิกอาจจำกัดให้มีผลเฉพาะบางดินแดนที่อนุสัญญานี้ใช้บังคับอยู่ก็ได้ การบอกเลิกจะมีผลเฉพาะต่อรัฐที่ได้แจ้งการบอกเลิกเท่านั้น และอนุสัญญาฉบับนี้จะยังคงมีผลใช้บังคับต่อรัฐภาคีอื่นต่อไป

มาตรา 15
กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ต้องแจ้งให้รัฐที่กล่าวถึงในมาตรา 10 และรัฐที่ได้ภาคยานุวัติตามมาตรา 12 ทราบถึงเรื่องต่อไปนี้
(a) การแจ้งตามที่กล่าวถึงในวรรคสองของมาตรา 6
(b) การลงนามและการให้สัตยาบันตามที่กล่าวถึงในมาตรา 10
(c) วันที่อนุสัญญาฉบับนี้มีผลใช้บังคับตามวรรคหนึ่งของมาตรา 11
(d) การภาคยานุวัติและการคัดค้านตามที่กล่าวถึงในมาตรา 12 รวมถึงวันที่การภาคยานุวัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับ
(e) การขยายการใช้บังคับตามที่กล่าวถึงในมาตรา 13 และวันที่การขยายการใช้บังคับดังกล่าวมีผล
(f) การบอกเลิกตามที่กล่าวถึงในวรรคสามของมาตรา 14

บทลงนาม
เพื่อเป็นพยานแห่งการนี้ ผู้ลงนามทั้งหลายซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยชอบแล้ว ได้ลงนามในอนุสัญญาฉบับนี้ กระทำ ณ กรุงเฮก เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1961 เป็น ภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษ โดยให้ ข้อความภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก ในกรณีที่มีความแตกต่างระหว่างข้อความทั้งสองภาษา

อนุสัญญาฉบับนี้จัดทำขึ้นเป็นต้นฉบับเดียว และเก็บรักษาไว้ในหอจดหมายเหตุของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และให้จัดส่งสำเนาที่ได้รับการรับรองแล้ว ผ่านช่องทางการทูต ไปยังรัฐทั้งหลายที่มีผู้แทนเข้าร่วมการประชุมสมัยที่เก้าของการประชุมกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล รวมถึงรัฐไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ และตุรกี

อ่านภาษาอังกฤษต้นฉบับได้ที่นี่

เกี่ยวกับนักแปลรับรอง ผู้รับรองการแปล และล่ามรับรองของสมาคมวิชาชีพนักแปลและล่ามแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สมาคมวิชาชีพนักแปลและล่ามแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAProTI) ได้ประกาศหลักเกณฑ์และคุณสมบัติผู้ที่ขึ้นทะเบียนเป็น “นักแปลรับรอง (Certified Translators) และผู้รับรองการแปล (Translation Certification Providers) และล่ามรับรอง (Certified Interpreters)” ของสมาคม หมวดที่ 9 และหมวดที่ 10 ในราชกิจจานุเบกษา ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในสำนักนายกรัฐมนตรี แห่งราชอาณาจักรไทย ลงวันที่ 25 ก.ค. 2567 เล่มที่ 141 ตอนที่ 66 ง หน้า 100 อ่านฉบับเต็มได้ที่: นักแปลรับรอง ผู้รับรองการแปล และล่ามรับรอง
สำนักคณะกรรมการกฤษฎีกา เสนอให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา โดยกำหนดให้นักแปลที่ขึ้นทะเบียน รวมถึงผู้รับรองการแปลจากสมาคมวิชาชีพหรือสถาบันสอนภาษาที่มีการอบรมและขึ้นทะเบียน สามารถรับรองคำแปลได้ (จดหมายถึงสมาคม SEAProTI ลงวันที่ 28 เม.ย. 2568)
สมาคมวิชาชีพนักแปลและล่ามแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นสมาคมวิชาชีพแห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีระบบรับรองนักแปลรับรอง ผู้รับรองการแปล และล่ามรับรอง
สำนักงานใหญ่: อาคารบ้านราชครู เลขที่ 33 ห้อง 402 ซอยพหลโยธิน 5 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400 ประเทศไทย
อีเมล: hello@seaproti.com โทรศัพท์: (+66) 2-114-3128 (เวลาทำการ: วันจันทร์–วันศุกร์ เวลา 09.00–17.00 น.

SEAProTI.org

Update

SEAProTI.org

Trainings

CHANGE LANGUAGE
Powered by
SEAProTI.org
An initiative to raise professional standards of translators and interpreters in Southeast Asia
Reload Page
Copy Link